กลยุทธ์และเคล็ดลับการเทรดด้วยมาร์จิ้นที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทราบ
Antreas Themistokleous
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเทรดของ Exness
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาไม่อาจใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ผลการดำเนินงานในอนาคต เงินลงทุนของคุณมีความเสี่ยง โปรดเทรดอย่างรอบคอบ
แชร์
หากคุณอยากรู้ว่าการเทรดด้วยมาร์จิ้นมีหลักการอย่างไรและวิธีนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในตลาดให้คุณได้อย่างไร คู่มือนี้จะพาคุณไปเจาะลึกโลกการเทรดด้วยมาร์จิ้น ซึ่งจะอธิบายตั้งแต่การเทรดด้วยมาร์จิ้นคืออะไร สามารถนำไปใช้กับคริปโตเคอร์เรนซีได้อย่างไร และมีข้อดีอะไรบ้าง รวมถึงความเสี่ยงและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเทรดด้วยมาร์จิ้น และแบ่งปันเคล็ดลับในการหลีกเลี่ยงหรือจัดการความเสี่ยงจากการเทร ดด้วยมาร์จิ้น
การซื้อขายแบบใช้มาร์จิ้นคืออะไร
การเทรดด้วยมาร์จิ้นเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้คุณสามารถเทรดด้วยเงินกู้ยืมจากบริษัทโบรกเกอร์
การใช้บัญชีมาร์จิ้น (บัญชีโบรกเกอร์ที่ใช้เลเวอเรจ) ช่วยให้คุณมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงมากขึ้นเช่นกัน คุณยังสามารถคว้าโอกาสของตลาดที่อาจไม่สามารถเทรดได้ด้วยเงินสดแบบดั้งเดิมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเทรดด้วยเงินกู้ยืมก็มีความเสี่ยงอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณจำเป็นต้องเข้าใจกลไก ประโยชน์ และข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการนี้ก่อนเริ่มเทรด
ความห มายและกลไกของการเทรดด้วยมาร์จิ้น
การเทรดด้วยมาร์จิ้นหมายถึงการกู้ยืมเงินที่เรียกว่าการใช้เลเวอเรจ เลเวอเรจเป็นบริการที่มักจัดหาโดยบริษัทโบรกเกอร์ เพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น ออปชั่น ฟิวเจอร์ส หรือคริปโตเคอร์เรนซี เงินที่กู้ยืมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเลเวอเรจ ให้คุณสามารถเทรดคริปโตเคอร์เรนซีด้วยเงินที่มากกว่าที่คุณฝากเข้ามา และควบคุมสถานะที่ใหญ่กว่าที่เงินทุนที่คุณมีอยู่สามารถทำได้
เมื่อคุณเปิดบัญชีมาร์จิ้น คุณฝากเงินสดหรือหลักทรัพย์จำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นหลักประกันสำหรับเงินทุนที่กู้ยืม จำนวนเงินที่คุณสามารถกู้ยืมได้จะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้นของบริษัทโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ ข้อกำหนดเหล่านี้จะระบุเปอร์เซ ็นต์ขั้นต่ำของมูลค่ารวมของการซื้อขายที่คุณจะต้องฝากไว้ในรูปเงินสดหรือหลักทรัพย์ ข้อกำหนดมาร์จิ้นเริ่มแรกคือเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนที่จำเป็นเมื่อเริ่มเทรด ส่วนข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้นคือจำนวนอิควิตี้ขั้นต่ำที่ต้องมีเพื่อป้องกันการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น
กลไกของการเทรดด้วยมาร์จิ้นคือการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้และใช้เงินทุนเหล่านั้นในการเทรด เนื่องจากมูลค่าของหลักทรัพย์มีความผันผวน อิควิตี้ในบัญชีมาร์จิ้นจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย หากอิควิตี้ลดลงมาต่ำกว่าข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้น ก็จะมีการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น โดยคุณจะต้องฝากเงินหรือหลักทรัพย์เพิ่มเพื่อให้มาร์จิ้นกลับไปอยู่ในระดับที่กำหนดไว้ หากไม่สามารถทำตามการแจ้งเตือนระดับมาร ์จิ้นได้ก็จะส่งผลให้ถูกบังคับปิด (Stop Out) สถานะของเทรดเดอร์โดยโบรกเกอร์
ในกรณีดังกล่าว คุณสมบัติการป้องกัน Stop Out ที่ไม่เหมือนใครของ Exness จะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการตกลงของราคาได้อย่างเหมาะสม พร้อมกับเปิดโอกาสให้สถานะกลับไปมีทิศทางที่ดีขึ้น
ประโยชน์ของการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีด้วยมาร์จิ้น
เพิ่มโอกาสในตลาด
ประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเทรดคริปโตด้วยมาร์จิ้นคือสามารถเพิ่มโอกาสในตลาดและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากความผันผวนที่สูงของคริปโตเคอร์เรนซี การใช้เงินกู้มาร์จิ้นเพื่อควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้คุณส ามารถมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในตลาดคริปโตและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในช่วงที่สภาพตลาดเอื้ออำนวย การเทรดด้วยมาร์จิ้นจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงโอกาสที่กว้างขึ้นได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยลง
การเทรดด้วยมาร์จิ้นช่วยให้คุณทำกำไรจากแนวโน้มของตลาดและความผันผวนของราคาในระยะสั้น เมื่อคุณใช้เงินทุนของคุณ คุณจะสามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาดที่อาจไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากเงินทุนมีจำกัด การเพิ่มโอกาสในตลาดสามารถนำไปสู่โอกาสในการเทรดที่เพิ่มขึ้นและโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น
เลเวอเรจหรือที่เรียกว่าเงินกู้มาร์จิ้น เป็นการให้อำนาจกา รซื้อแก่คุณ เนื่องจากจะช่วยให้มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากเงินฝากเริ่มต้นหลายเท่า เช่น หากคุณฝากเงิน 100 ดอลลาร์ด้วยมาร์จิ้นกู้ยืม 1:100 คุณจะสามารถเปิดคำสั่งซื้อขายมูลค่า 1,000 ดอลลาร์
โอกาสในการขายชอร์ต
นอกจากนี้ การเทรดด้วยมาร์จิ้นยังช่วยให้การขายชอร์ตง่ายขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสภาพตลาดขาลง การขายชอร์ตคือการยืมและขายเหรียญคริปโตที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขายกลับในราคาที่ต่ำกว่าในภายหลัง การทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในขาลงนี้จะช่วยให้คุณทำกำไรจากราคาที่ตกลงมาและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง
การขายชอร์ตสามารถช่วยให้คุณได้กำไรจากตลาดขาลง การเทรดด้วยมาร์จิ้นจึงเป็นกลยุทธ์ที่สามารถใช้ได้ในสภาพตลาดที่หลากหลาย นอกจากนี้ การขายชอร์ตยังถือเป็นเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงซึ่งป้องกันผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในเวลาที่คุณถือสถานะ Long อีกด้วย
การกระจายการลงทุนและการจัดการความเสี่ยง
การเทรดด้วยมาร์จิ้นมอบโอกาสในการกระจายพอร์ทการลงทุนและใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อน การใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้คุณกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ กลุ่ม หรือตลาดอื่นๆ ได้ การกระจายการลงทุนนี้จะช่วยลดผลกระทบของแต่ละสถานะในพอร์ทการลงทุนโดยรวมของคุณ ทำให้ระดับความเสี่ยงลดลง
การเทรดด้วยมาร์จิ้นช่วยให้คุณสามารถใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง Stop Loss คำสั่งเหล่านี้จะขายสถานะโดยอัตโนมัติเมื่อถึงราคาที่กำหนดไว้ ล่วงหน้า ช่วยจำกัดผลขาดทุนที่จะได้รับ การตั้งคำสั่ง Stop Loss ช่วยให้คุณกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และปกป้องเงินทุนในกรณีที่ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้
ความเสี่ยงและความท้าทายในการเทรดด้วยมาร์จิ้น
ความผันผวนและผลขาดทุนที่สูงขึ้น
แม้ว่าการเทรดด้วยมาร์จิ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็ทำให้ผลขาดทุนที่อาจได้รับสูงขึ้นเช่นกัน หากการเทรดไม่เป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ ผลขาดทุนอาจสูงขึ้นมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นอันเนื่องมาจากเงินที่กู้ยืมและอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนของตลาดอาจทำให้ราคาผันผวนอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว เกิดความเสี่ยงที่จะขาดทุนอย่างหนักมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้บาลานซ์ของคุณติดลบและต้องฝากเงินเพิ่มเพื่อชดเชยจำนวนเงินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ด้วยบัญชีซื้อขาย Exness คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบาลานซ์ที่ติดลบ เนื่องจากคุณสมบัติการป้องกันยอดบาลานซ์ติดลบจะช่วยปกป้องคุณไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าว คุณต้องประเมินความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งอย่างรอบคอบและพิจารณาผลขาดทุนที่อาจได้รับก่อนเข้าถือสถานะด้วยมาร์จิ้น
ความผันผวนของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณาในการเทรดด้วยมาร์จิ้น เมื่อราคาผันผวน เงินทุนกู้ยืมอาจทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนเพิ่มขึ้น คุณจะต้องเตรียมพร้อมรับการเคลื่อนไหวของราคากะทันหันและกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการผลขาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนได้ ด้วยการทำการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดและใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงให้เป็นประโยชน์
การแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและการบังคับปิดสถานะ
การเทรดด้วยมาร์จิ้นจำเป็นจะต้องมีการรักษาระดับอิควิตี้ให้เพียงพอในบัญชีมาร์จิ้น หากมูลค่าของหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ซึ่งเรียกว่าข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้น จะมีการส่งการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น
เมื่อมีการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น คุณจะต้องฝากเงินหรือหลักทรัพย์เพิ่มเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดมาร์จิ้น มิฉะนั้นจะถูกบังคับปิดสถานะโดยโบรกเกอร์ของคุณ การถูกบังคับปิดสถานะอาจทำให้เกิดผลขาดทุนมหาศาล และคุณจะไม่สามารถควบคุมเวลาหรือราคาที่สถานะถูกปิดได้เลย
การแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นอาจเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นของคุณตกลงมาถึงระดับหนึ่ง ทำให้ระดับอิควิตี้ลดลง เพื่อไม่ให้เกิดกรณีนี้ขึ้น คุณต้องเฝ้าติดตามระดับมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิดและกำหนดแผนการปฏิบัติตามข้อกำหนดในกรณีเกิดการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมถึงการตั้งคำสั่ง Stop Loss และการรักษาเงินทุนให้เพียงพออาจช่วยป้องกันหรือจัดการการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นได้
ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
การเทรดด้วยเงินกู้มาร์จิ้นเป็นการกู้ยืมเงินทุนซึ่งจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ย หมายความว่าคุณอาจต้องจ่ายดอกเบี้ย คุณจึงจำเป็นต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการคำนวณผลตอบแทนที่อาจไ ด้รับ ยิ่งไปกว่านั้น โบรกเกอร์มักเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับบัญชีมาร์จิ้น เช่น ดอกเบี้ยสำหรับเงินทุนที่กู้ยืม การบำรุงรักษาบัญชี และค่าธรรมเนียมจากการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น ต้นทุนเหล่านี้อาจทำให้กำไรที่อาจได้รับลดลง ซึ่งควรคำนึงถึงเมื่อประเมินความเป็นไปได้ของกลยุทธ์การเทรดด้วยมาร์จิ้น
อัตราดอกเบี้ยของเงินทุนที่กู้ยืมอาจแตกต่างกันไปตามสภาพตลาดและนโยบายของโบรกเกอร์ คุณจะต้องประเมินต้นทุนดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับการเทรดด้วยมาร์จิ้นอย่างรอบคอบและพิจารณารวมอยู่ในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง การเปรียบเทียบบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ และโครงสร้างค่าธรรมเนียมของแต่ละบริษัทจะช่วยให้คุณสามารถเลือกตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในการเทรดด้วยมาร์จิ้น
เคล็ดลับในการจัดการความเสี่ยงเมื่อเทรดด้วยมาร์จิ้น
ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
1. ก่อนเทรดด้วยมาร์จิ้น คุณจะต้องเข้าใจหลักการของข้อกำหนดมาร์จิ้น อัตราดอกเบี้ย และการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น เพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลครบถ้วน
2. ศึกษากฎระเบียบและกฎเกณฑ์ของโบรกเกอร์และหน่วยงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
3. ใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง และตัวชี้วัดตลาด เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน
ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง
ขั้นตอนที่ 1 กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนพร้อมระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไปจนอาจนำไปสู่ผลขาดทุนอย่างหนัก
ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาแผนการเทรดที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงของคุณ กำหนดผลตอบแทนที่คาดหวังที่เป็นไปได้จริงและเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ขั้นตอนที่ 3 มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับคุณ รวมถึงผลขาดทุนที่ยอมรับได้
เคล็ดลับ: คุณสามารถเรียนรู้วิธีการกำหนดหรือเปลี่ยนเลเวอเรจบนบัญชีซื้อขาย Exness ได้จากพื้นที่ส่วนบุคคลหลังจากที่ลงทะเบียนบัญชีซื้อขาย Exness แล้ว
ดำเนิ นการวิเคราะห์อย่างละเอียด
1. ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคเพื่อประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจได้รับ
2. ใช้คำสั่ง Stop Loss เพื่อจำกัดผลขาดทุนและปกป้องเงินทุนของคุณ
3. พิจารณาผลกระทบซึ่งอาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การประกาศข่าว และแนวโน้มตลาดที่มีผลต่อสถานะมาร์จิ้นของคุณ
คุณต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น กราฟ อินดิเคเตอร์ และรูปแบบ เพื่อระบุจุดเข้าและออกที่เป็นไปได้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยประเมินมูลค่าอ้างอิงของเครื่องมือทางการเงินและระบุแนวโน้มตลาดได้ การใช้แนวทางเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้มีความเข้าใจตลาดรอบด้านและสามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลครบถ้วน
หมั่นเฝ้าติดตามสถานะเป็นประจำ
1. เฝ้าติดตามพอร์ทการลงทุนอยู่เสมอและพร้อมปรับเปลี่ยนอย่างทันท่วงทีเพื่อการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับข่าวสารตลาด ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเทรดด้วยมาร์จิ้นของคุณ
การเทรดด้วยมาร์จิ้นจำเป็นต้องมีการเฝ้าติดตามสถานะอยู่ตลอดเวลาเพื่อประเมินสภาพตลาดและทำการปรับเปลี่ยนเมื่อจำเป็น คุณจะต้องทบทวนพอร์ทการลงทุน เฝ้าติดตามแนวโน้มตลาด และติดตามข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์และข่าวสารที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ การจัดการสถานะมาร์จิ้นในเชิงรุกจะช่วยให้คุณสามารถลดความเสี่ยงและทำกำไรจากโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้
รักษามาร์จิ้นให้เพียงพอ
การรักษาระดับมาร์จิ้นให้อยู่เหนือข้อกำหนดขั้นต่ำมากพอที่จะไม่ต้องกังวลนั้นมีความสำคัญต่อการลดความเสี่ยงในการเกิดการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น
ลองทำดังนี้
1. เตรียมเงินทุนหรือหลักทรัพย์เพิ่มเติมไว้ให้พร้อมในกรณีที่ตลาดเกิดความผันผวนโดยไม่คาดคิด
2. หมั่นตรวจสอบบาลานซ์ของบัญชีมาร์จิ้นเพื่อให้มาร์จิ้นยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
3. รักษาระดับมาร์จิ้นให้เพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและการถูกบังคับปิดสถานะ
4. คำนวณระดับมาร์จิ้นที่จำเป็นสำหรับสถานะของคุณและตรวจสอบว่าคุณมีหลักประกันในบัญ ชีเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้น
เคล็ดลับ: ตรวจสอบการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและระดับ Stop Out ที่กำหนดไว้สำหรับบัญชีซื้อขายประเภทต่างๆ ของ Exness เพื่อเข้าใจหลักการของการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและระดับ Stop Out ของ Exness ได้ดียิ่งขึ้น
ใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง
ใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงเพื่อช่วยปกป้องเงินทุนและจำกัดผลขาดทุน
1. คำสั่ง Stop Loss จะส่งผลให้มีการขาดสถานะโดยอัตโนมัติ หากถึงระดับราคาที่กำหนดไว้
2. คำสั่ง Trailing Stop สามารถใช้เพื่อปรับเปลี่ยนราคา Stop Loss ตามการเคลื่อนไหวของตลาดเมื่อเป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ เพื่อปกป้องกำไรโดยที่ยังเปิดโอกาสให้กำไรเติบโต
คำถามที่พบบ่อย
การเทรดด้วยมาร์จิ้นทำกำไรได้หรือไม่
การเทรดด้วยมาร์จิ้นเป็นการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อสินทรัพย์อย่างคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้นักลงทุนซื้อได้มากกว่าที่สามารถทำได้ด้วยเงินทุนที่มีอยู่เอง โบรกเกอร์จะจัดหาเงินทุนให้นักลงทุนซื้อเหรียญ โดยนักลงทุนจะต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งของจำนวนเงินทั้งหมดเป็นมาร์จิ้น และโบรกเกอร์จะให้ยืมเงินส่วนที่เหลือ การเทรดด้วยมาร์จิ้นมีประโยชน์ในการสร้างกำไรในระยะสั้นและใช้สถานะของตลาด แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เช่น ผลขาดทุนอย่างหนัก ความจำเป็นต้องรักษาบาลานซ์ขั้นต่ำ และโอกาสในการถูกบังคับปิดสถานะจากบัญชีโบรกเกอร์
มือใหม่ควรเทรดด้วยมาร์จิ้นหรือไม่
การเทรดด้วยมาร์จิ้นอาจไม่เหมาะสำหรับการเริ่มเทรด ดังนั้นจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมนักสำหรับนักลงทุนหรือเทรดเดอร์มือใหม่ กลยุทธ์การเทรดนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงพารามิเตอร์มากมายและเทรดเดอร์มือใหม่อาจพบอุปสรรคในการเทรดช่วงแรก เนื่องจากความยุ่งยากซับซ้อนเกี่ยวกับหลักการเทรดในวิธีนี้ จึงอาจทำให้มือใหม่ถูกปิดสถานะในบัญชีโบรกเกอร์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะมือใหม่มีแนวโน้มที่จะพิจารณาเพียงกำไรมหาศาลที่มีโอกาสได้รับจากการใช้เลเวอเรจ โดยไม่คำนึงถึงผลขาดทุนหลายเท่าตัวที่มักจะเกิดขึ้นหากจัดการเงินทุนของตนเองอย่างไม่มีประสิทธิภาพ